วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

มหัศจรรย์ ผลึกน้ำ กับเสียงสวดมนต์ ผลงานวิจัยนักวิทยาศาสตร์ ชาวญี่ปุ่น

 


 
รูปผลึกน้ำจากเขื่อนฟูจิวาร่า ก่อนนำมาทำน้ำมนต์
รูปผลึกน้ำจากเขื่อนฟูจิวาร่า หลังผ่านการสวนมนต์
 


คลิกชมวิดีโอ ครับ
 
 

วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สำหรับลูกๆ ทุกคน ต้องดู

 
"ไม่มีพ่อที่ดีที่สุด แต่มีพ่อที่รักเรามากที่สุด"
 
 

พระคุณแม่นั้น ยิ่งใหญ่ แม่คือผู้ที่รักลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข และพร้อมให้อภัยลูกเสมอ

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หลักการใช้ชีวิตคู่ อย่างมีความสุข ด้วยธรรมะของพระพุทธเจ้า

หลักปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขของ คู่ สามี ภรรยา
การที่คนสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนั้น ย่อมเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร เพราะความคิดเห็นของคนทั้งสองอาจมีไม่เหมือนกัน จำเป็นต้องมีการปรับหรือจูนความคิดเห็นเข้าหากัน เพื่อลดความบาดหมางกัน หรือโกรธเคืองกัน หากสามารถสร้างความคิดเห็นให้เป็นอย่างเดียวกันได้ ก็จะนำไปสู่การสร้างครอบครัวให้มีความสุข ดังนั้น โยมพี่ทั้งสองจึงควรทราบหลักธรรมที่ใช้สำหรับการดำเนินชีวิตครอบครัว เพื่อสร้างความรัก ความเข้าใจกันมากขึ้น หลักที่อาตมาอยากจะนำมาเสนอไว้ให้โยมพี่ทั้งสองยึดถือปฏิบัติในที่นี้คือ หลักฆราวาสธรรม (หลักธรรมสำหรับผู้ครองเรือน) ประกอบด้วย
1. สัจจะ หมายถึง ความซื่อสัตย์ต่อกัน ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ไม่นอกใจกัน สามีรักภรรยา ภรรยาก็รักสามี ต่างฝ่ายต่างจริงใจและซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่มีความลับต่อกัน พูดง่ายๆ คือ ให้รักเดียวใจเดียว อย่าหลายใจ อย่าหึงกันมากจนเกินเหตุ เพราะจะนำไปสู่การผิดใจกัน ทำให้เกิดการโกรธเคืองกันและอาจทำให้ชีวิตครอบครัวพังลงได้
2. ทมะ หมายถึง การรู้จักข่มใจ หักห้ามใจในเวลามีเรื่องราวที่ไม่สบายใจเกิดขึ้น เช่น เวลาโกรธ ก็ให้พยายามข่มใจไม่ให้โกรธ หรือแสดงความโกรธนั้นต่ออีกฝ่าย เพราะจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจหรืออาจโกรธตอบ อันจะนำไปสู่การทะเลาะกัน เป็นต้น
3. ขันติ หมายถึง ความอดทน หมายความว่า ให้รู้จักอดทนต่อคำกล่าวติชินนินทาของอีกฝ่าย หรือคนอื่นๆ เขาจะว่าอะไรก็ให้พยายามอดทนเอาไว้ เก็บอารมณ์เอาไว้ อย่าแสดงออกตอบ เพราะหากแสดงออกตอบก็จะนำไปสู่การก่อวิวาทกัน โกรธเคืองกัน ผิดใจกัน เวลาที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโกรธ ก็ให้อีกฝ่ายพยายามอย่าโกรธตอบ หรือทางที่ดีที่สุดให้เดินหนีไปให้ไกล อย่าพูดด้วย รอให้อาการความโกรธสงบลงก่อน จึงค่อยพูดด้วย เพราะในเวลาที่โกรธจะไม่มีสติ มักไม่ยอมรับฟังเหตุผลของอีกฝ่าย มักใช้กำลังในการแก้ปัญหา ขืนพูดด้วยก็จะเข้าสำนวนไทยที่ว่า “สีซอให้ควายฟัง” หรือ “เป่าปี่ให้ควายฟัง” ทำอย่างไรมันก็ไม่รู้เรื่องหรอก เสียเวลาเปล่า ดังนั้น จึงต้องอดทนเอาไว้
4. จาคะ หมายถึง การเสียสละ การรู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนตนให้แก่อีกฝ่าย หรือการรู้จักเสียสละความสุขของตนเพื่ออีกฝ่าย พยายามยอมกันในบางเรื่องหรือทุกเรื่อง สามียอมภรรยา ภรรยายอมสามี สามีรู้จักเสียสละต่อภรรยา ภรรยารู้จักเสียสละต่อสามี ต่างฝ่ายต่างรู้จักเสียสละต่อกัน ก็จะทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุขได้
นอกจากหลักธรรม 4 ข้อข้างต้นแล้ว โยมพี่ทั้งสองจะต้องปฏิบัติตามหลักทิศ 6 อีกด้วย โดยเฉพาะข้อที่ว่า ด้วยหน้าที่ของสามีและภรรยาที่จะพึงปฏิบัติต่อกัน ทั้งสามีและภรรยาต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องทำต่อกัน โดยสามีมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติต่อภรรยาดังนี้คือ
หน้าที่ของสามี พึงปฏิบัติต่อ ภรรยา
1. ต้องยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยาของตนเอง แม้ว่าเขาจะมีฐานะหรือตำแหน่งทางสังคมเป็นอย่างไรก็ตาม หากได้แต่งงานใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเราแล้ว ก็ต้องยอมรับนับถือว่าเป็นภรรยาด้วยความเต็มใจ
2. ไม่ดูหมิ่น ดูแคลน หรือดูถูกเหยียดหยามภรรยาตน อาจเป็นเพราะสาเหตุบางประการ เช่น มีฐานะยากจน ไม่มีงานทำ ฯลฯ
3. ไม่ประพฤตินอกใจ สามีต้องซื่อสัตย์ต่อภรรยา ต้องรักเดียวใจเดียว ไม่มีชู้ หรือประพฤตินอกใจภรรยา
4. มอบความเป็นใหญ่ให้ หมายความว่า สามีต้องยินยอมมอบความเป็นใหญ่ให้ภรรยาในหลายๆเรื่อง อาทิ เรื่องงานบ้าน งานครัว รวมทั้งงานอื่นๆที่ภรรยาสามารถทำได้ โดยที่ไม่เข้าไปก้าวก่าย หรือต่อว่า หรือติชินนินทา
5. ให้เครื่องแต่งตัว หมายความว่า สามีต้องรู้จักให้เครื่องแต่งตัวแก่ภรรยาตนในบางโอกาส เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่ภรรยาในการทุ่มเททำงานบ้าน อาจซื้อของใช้ส่วนตัวภรรยาหรือของชำร่วยให้ก็ได้ เช่น ซื้อแหวนให้สักวง ฯลฯ
หลักทั้ง 5 ข้อนี้เป็นหลักที่สามีพึงปฏิบัติต่อภรรยาในฐานะเป็นคู่ชีวิตของตน ในทางตรงกันข้ามเมื่อสามีกระทำต่อภรรยาอย่างนี้แล้ว ภรรยาก็ไม่ควรอยู่นิ่งเฉยต้องขวนขวายทำกิจปฏิบัติตอบต่อสามีด้วยการปฏิบัติตน ดังนี้คือ
หน้าที่ ของภรรยา พึงปฏิบัติต่อสามี
1. จัดการงานดี หมายความว่า สามารถดูแลกิจการงานบ้านทุกอย่างได้เป็นอย่างดียิ่ง สามารถจัดบ้านได้สวยงามเป็นระเบียบ ดังนั้นผู้ที่เป็นภรรยาต้องรู้เรื่องการบ้าน การเรือนดีพอสมควรจึงสามารถจะจัดการดูแลความสะอาดภายในบ้านหรือเรือนได้
2. สงเคราะห์คนข้างเคียงของสามีดี เวลาที่สามีมีเพื่อนหรือแขกมาเยี่ยมเยียนที่บ้าน ภรรยาต้องรู้จักทำปฏิสันถารต้อนรับหรือปฏิบัติตนต่อบุคคลเหล่านั้นเป็นอย่างดี เช่น หาน้ำมาให้ดื่ม ปฏิบัติตนเรียบร้อย ไม่กล่าวเรื่องราวอันจะเป็นเหตุกระทบกระทั่งจิตใจของคนข้างเคียงสามีตน เป็นต้น
3. ไม่ประพฤติล่วงใจสามี ภรรยาต้องมีความซื่อสัตย์ต่อสามี จริงใจต่อสามี ไม่มีชู้หรือนอกใจสามี
4. รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ไว้ ทรัพย์ทุกอย่างที่สามีหามาได้ ไม่ว่าจะด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย หรือน้ำพักน้ำแรง และมอบไว้ให้ภรรยาเก็บดูแลรักษานั้น ภรรยาจะต้องเก็บดูแลรักษาทรัพย์สมบัตินั้นให้เป็นอย่างดียิ่ง ไม่ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอันหาประโยชน์ไม่ได้ ต้องรู้จักใช้จ่ายอย่างประหยัดที่สุด
5. ขยันไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง ภรรยาไม่ควรมีความเกียจคร้าน ต้องมีความตื่นตัว ขยันอยู่ตลอดเวลา หมั่นดูแลทำความสะอาด ปัดกวาด เช็ดถูบ้านเรือนเป็นประจำ ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง อ้างนั้น อ้างนี้ จนไม่เป็นอันทำการงาน
 หลักธรรมที่อาตมาได้หยิบยกเอามาฝากในโอกาสนี้ ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อโยมพี่ทั้งสอง เพราะจะทำให้โยมพี่ทั้งสองเข้าใจการมีชีวิตครอบครัวมากขึ้น สามารถปฏิบัติต่อกันได้อย่างถูกต้อง และสามารถที่จะประคับประคองชีวิตครอบครัวให้ดำเนินไปตามแนวทางแห่งความสุขและความสงบร่มเย็นได้ เพราะต่างฝ่ายต่างมีหลักประกัน มีหลักปฏิบัติต่อกัน ทำให้เห็นอกเห็นใจกัน และเข้าใจกันมากขึ้น อันจะทำให้เกิดความรักกันมากขึ้นตามลำดับด้วย
ดังนั้น โยมพี่ทั้งสองจะต้องปฏิบัติตามหลักธรรมเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ และต้องถือปฏิบัติอย่างจริงจัง อย่าทำเล่น ต้องถือปฏิบัติด้วยใจจริง หากโยมพี่ทั้งสองปฏิบัติตามหลักธรรมดังกล่าวข้างต้นนี้แล้ว อาตมาก็เชื่อว่า โยมพี่ทั้งสองจะมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข ความเจริญ ไม่มีเรื่องที่ต้องคิดให้ปวดหัวเป็นแน่ สามารถขจัดปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ทำให้รักกันมากขึ้น และสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าตลอดจนถึงวันตายได้อย่างมีความสุข
สุดท้ายขอทิ้งท้ายด้วยสุภาษิตจีนบทหนึ่งว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” หมายความว่า หากสามีรู้ใจภรรยา และภรรยาก็รู้ใจสามีด้วย ต่อให้มีอุปสรรคมารุมเร้าหรือขัดขวางมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ทั้งสามีและภรรยาก็จะสามารถช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคนั้นๆไปได้.....
ที่มา http://knowledge.eduzones.com/knowledge-2-3-34781.htmlมา

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การกำเนิดมนุษย์ โลก จักรวาล ตามหลักศาสนาพุทธ

การกำเนิดสรรพสิ่ง
คลิกชมวิดีโอ พระพุทธองค์ โปรดผกาพรหม
ผกาพรหม มีความเชื่อว่า ตนเองเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งบนโลกและจักรวาล ด้วยอำนาจตน ทุกสรรพสิ่งมีความเที่ยงแท้แน่นอน ตามอำนาจตน ดลบันดาล พระพุทธองค์รู้ถึงความคิดเห็นผิดของผกาพรหม จึงเสด็จโปรดผกาพรหม ยังพรหมโลก ให้มีความเห็นถูกต้อง
 
  โลกที่เราอยู่นี้คืออะไร? โลกเกิดมาได้อย่างไร? เราท่านเกิดมาได้อย่างไร?

พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสถึงวิวัฒนาการของโลกไว้ใน อัคคุญสูตร ซึ่งเป็นสูตรสำคัญสูตรหนึ่งใน คุมภีร์นิกาย สรุปใจความย่อๆมีใจความว่า

จักวาลนี้เดิมทีเป็นกลุ่มก๊าซไอน้ำ โลกเราก็เป็นกลุ่มก๊าซไอน้ำก้อนมหึมาก้อนหนึ่ง ในความเวิ้งว้างของอวกาศนั้น มีสัตว์หมู่หนึ่งล่องลอยอยู่ไปมา ไม่มีร่างกาย มีแต่จิต ไม่ต้องกินอาหาร หากกินความปีติอิ่มเอิบใจเป็นอาหารจะเรียกว่าเสวยอารมณ์ทิพย์ก็ได้ สัตว์หมู่นี้ชื่อว่า อาภัสรพรหม มีแสงสว่างรัศมีในตัวเองคล้ายหิ่งห้อย แต่ทว่าแสงสว่างรุ่งเรืองกว่าหิ่งห้อยหลายร้อยหลายพันเท่า ยุคนั้นเป็นยุคมืดตื้อ ไม่มีดวง
อาทิตย์ไม่มีดวงจันทร์ไม่มีหมู่ดาวไม่มีกลางวันกลางคืน โลกและจักรวาลมีแต่กลุ่มก๊าซไอน้ำ กาลนานมาพวกสัตว์ไม่มีร่าง มีแต่จิตเสวยอารมณ์ทิพย์พวกนี้ได้ล่องลอยมาเห็นโลกเข้าหรือจะเรียกว่าจุติมาก็ได้ ได้พบว่าบนผิวน้ำนั้นมีโอชะดินหรือง้วนดินลอยเป็นฝ้าอยู่เหนือน้ำเต็มไปหมด เหมือนผ้าที่อยู่บนผิวนมร้อนตอนที่มันเย็นลงนั้นแหละ ง้วนดินนี้ระเหยขึ้นมาจากก้นทะเล ด้วยอำนาจความร้อนภายในของโลก มีกลิ่นหอมหวนทวนลมยิ่งนัก

พวกอาภัสรพรหมเห็นเป็นของแปลกประหลาดจึงได้ลองลิ้มชิมรสง้วนดินดู พบว่ารสชาติหอมหวานยิ่งนัก ต่างก็ติดอกติดใจรสชาติของง้วนดินเลยกินกันใหญ่ มีความหลงใหลในโอชะดิน จนลืมคิดที่จะเหาะล่องลอย ท่องเที่ยวไปในอากาศพากันเพลิดเพลินเจริญใจเสพโอชะง้วนดินไม่ไปไหน เมื่อบริโภคง้วนดินนานๆเข้าก็ปรากฏเป็นรูปร่างหรือกายหยาบขึ้น รัศมีสีแสงในตัวก็หายไปทีละน้อยๆ จนหมดสิ้น ในที่สุดพอรัศมีหมดไป จิตหรือวิญญาณมีร่างกายหยาบครองด้วยวิตามินง้วนดินที่เสพเข้าไป ทำให้ไม่สามารถจะเหาะล่องลอยไปไหนมาไหนเหมือนหิ่งห้อยได้อีกต่อไปก็กลายเป็นสตัว์โลกไป
ตอนนี้เอง กลุ่มก๊าซไอน้ำทั้งหลายในห้วงจักรวาล ได้ก่อปฏิกริยาด้วยพลังงานสสารธาตุในตัวเองกลายเป็นลูกไฟดวงใหญ่มหึมาขึ้น จะเรียกว่าดาวฤกษ์ก็ได้ เรียกว่าดวงอาทิตย์ก็ได้ เมื่อเกิดดาวฤกษ์หรือดวงอาทิตย์ขึ้นก็เกิดดวงจันทร์ เกิดดวงดาวน้อยใหญ่ขึ้นตามมาด้วยกฎธรรมชาติของจักรวาลเอง โดยหาได้มีใครสร้างขึ้นมาไม่ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมา โลกที่เต็มไปด้วยน้ำก็เริ่มระเหยกลายเป็นไอเพราะถูกแสงแดดแผดเผา ตอนนี้อาภัสรพรหมที่หลงใหลติดใจในรสชาติง้วนดินได้กลายสภาพเป็นสัตว์น้ำ พวกแรกที่เกิดขึ้นในโลกแต่จะเป็นสัตว์อะไรนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสถึงรายละเอียดพระองค์ทรงกล่าวแต่เพียงว่าเป็นสัตว์ที่ยังไม่มีเพศ ยังไม่มีความรู้สึกในด้านกามโลกีย์

กาลนานต่อมาอีกไม่รู้เท่าไหร่ ความร้อนของดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ทำให้น้ำในโลกระเหยจนงวดเข้า เกิดแผ่นดินงอกขึ้นมาเป็นทวีป สัตว์กลุ่มแรกหรือพวกอาภัสรพรหมที่มาติดใจในรสชาติง้วนดินได้ขึ้นมาเป็นสัตว์บก วิวัฒนาการทางรูปร่างเปลี่ยนไปตามธรรมชาติสิ่งแวดล้อม นอกจากจะกินง้วนดินเป็นอาหารแล้ว ยังกินพืชพันธุ์อย่างอื่นที่งอกขึ้นมาจากพื้นดินหล่อเลี้ยงชีพ ทำให้ร่างกายก็แปลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ จนในที่สุดได้เกิดแบ่งเป็นเพศตัวผู้และตัวเมียขึ้น ความเป็นสัตว์โลกโดยมบูรณ์ได้เริ่มขึ้นตอนนี้เอง คือเป็นสัตว์มนุษย์ จากนั้นการสืบพันธุ์แพร่ขยายชาติเชื้อก็ดำเนินไปตามกฎธรรมชาติ ง้วนดินอันโอชารสได้หมดไปจากโลกแล้วในตอนนี้ มีแต่พืชพันธ์ต่างๆเป็นอาหารหล่อเลี้ยงชีพ ไม่โอชารสเหมือนง้วนดินในยุคแรกเลย ต่อมาเหล่าสัตว์ไร้ร่าง มีแต่จิตทั้งหลาย คืออาภัสราพรหมที่อยากจะมาเกิดในโลก จึงจำใจต้องเข้าเกิดในท้องมนุษย์ พวกแรกนี้แทนบริโภคง้วนดิน การเข้าเกิดในท้องนี้ก็ฉวยโอกาสตอนที่มนุษย์
ชายและหญิงสมสู่ร่วมประเวณีกันนั้นเอง โดยเข้าปฏิสนธิในครรภ์ฝ่ายหญิง ต่อจากนั้นก็เกิดตัวตนออกลูกออกหลานแพร่ขยายพันธุ์กันมาเรื่อยๆเมื่อมีเกิด ก็มีตาย คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย


กฎธรรมชาติ
ครั้นแล้วกฎแห่งธรรมชาติวิวัฒนาการของมนุษย์ได้เริ่มขึ้นใหม่อีกกฎหนึ่งในตอนนี้ นั้นคือกฎแห่งกรรมดี..กรรมชั่วหรือกฎธรรมชาติเมื่อมนุษย์แพร่ขยายพันธุ์ขึ้นในโลกมากมาย การแก่งแย้งชิงดีชิงเด่น แก่งแย่งกันทำมาหากินก็มากขึ้น มีการฆ่าฟันทำร้ายข่มเหงรังแกกัน เป็นของธรรมดาสัตว์โลกปุถุชน กฎแห่งกรรมดี.. กรรมชั่ว หรือกฏหมายธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติอย่างน่าอัศจรรย์ในตอนนี้คือ... นรกโลกและเทวโลก โลกทั้งสองที่เกิดขึ้นใหม่สดๆ
ร้อนๆคือ นรกโลกและเทวโลกนี้ จัดไว้เป็นที่อยู่ของมนุษย์โลกที่ตายไปแล้ว เพื่อชดใช้กรรมดีและกรรมชั่วของตนที่เคยได้ทำไว้สมัยที่มีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ นรกโลกและเทวโลกนี้ไม่มีใครสร้างเป็นโลกละเอียดปรมาณูหรือโลกวิญญาณที่เกิดขึ้นมาเองด้วยตัวของมันเอง โดยธรรมชาติกฎแห่งสากลจักรวาลอันเป็นหลักวิวัฒนาการ มนุษย์คนไหนทำดี กฎหมายธรรมชาติคือทำดีได้ดีก็จัดส่งให้ไปเกิดในเทวโลก มนุษย์คนไหนทำชั่วคือทำชั่วได้ชั่ว กฏหมายธรรมชาติก็ส่งไปอยู่ในนรกโลกคือมนุษย์ตายไปแล้วสูญร่างกายหยาบ ส่วนจิตวิญญาณที่มาจากอาภัสรพรหมนั้นยังคงอยู่เพื่อรับกรรม คือกฏแห่งการกระทำของตนเอง


 

พรหมโลกขณะที่กฎแห่งธรรมชาติให้กำเนิดนรกโลกและเทวโลกขึ้นในจักรวาลนี้ พรหมโลกนั้นได้มีขึ้นอยู่ก่อนแล้ว คือโลกของอาภัสรพรหม หรือโลกของสัตว์ที่ไม่มีร่างหากมีแต่จิต เสวยอารมณ์ปีติอิ่มเอมใจเป็นอาหารทิพย์ เป็นภูมินรกและภุมเทวดาได้เกิดขึ้นแล้วเช่นนี้ พวกอาภัสรพรหม ที่คิดอยากจะท่องเที่ยว หรือจุติมาปฏิสนธิในโลกมนุษย์เหมือนอย่างแต่ก่อนก็เปลี่ยนไปคือไม่อยากจะมา เพราะโลกมนุษย์มีความเป็นสัตว์โลกหยาบช้าสกปรกมาก มีกิเลสชั่วร้ายมาก แก่งแย้งการทำมาหากินกันมาก ข่มเหงรังแกกันมาก ฉะนั้นการเวียนว่ายตายเกิดจึงเกิดขึ้นเป็นวงโคจรหรือวัฏฏะขึ้นระหว่างมนุษย์โลก นรกโลกและเทวโลก ส่วนอาภัสรพรหมแห่งพรหมโลกที่อยากจะจุติมาเกิดในมนุษย์โลกบ้าง จะมาได้ก็ด้วยอาศัยพลังของตัณหาคือความอยาก ความอยากหรือตัณหาของพรหมนี้คือกิเลส อยากจะมาประกอบกรรมดีในโลกมนุษย์เพื่อทดลองบำเพ็ญความดี คือว่าอยากมาร่วมทุกข์ร่วมสุขวุ่นวายกับพวกมนุษย์ ไม่ใช่คิดอยากจะมากินง้วนดินอันโอชารส เหมือนพวกอาภัสรพรหมรุ่นแรก เพราะว่าตอนนี้ง้วนดินในโลกมนุษย์ไม่เหลือหลออะไรอีกแล้ว อาภัสรพรหมที่นึกสนุกอยากจะมาเกิดในมนุษย์โลกนี้มีเป็นส่วนน้อย ส่วนมากมักเลื่อนชั้นตัวเองขึ้นไปอยู่ภูมิที่สูงขึ้นไปอีกภูมิหนึ่งคือภูมิของ มหาพรหม
 

มหาพรหมภูมิมหาพรหมนี้ มีพรหมอยู่ร่างหนึ่งหรือองค์หนึ่ง ครองตัวเองอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางอาณาจักรอันเวิ้งว้างของจักรวาลอันเป็นเขต อวกาศ จะเรียกว่า สุญญากาศ ก็ได้ สุญตา ก็ได้มหาพรหมองค์นี้ เสวยสุข เสพปีติ ความอิ่มเอมใจอันละเอียดอ่อนเป็นอาหารทิพย์หล่อเลี้ยงมีแต่จิต ไม่มีร่างมีความบรมสุขยิ่งกว่าพรหมชั้นอาภัสรามากนัก เมื่ออยู่คนเดียวองค์เดียวมหาพรหมก็หลงตัวเองคิดไปว่า ตัวเองยิ่งใหญ่กว่าพรหมทั้งหลาย ความจริงนั้นมหาพรหมก็เป็นเพียงสัตว์ชนิดหนึ่งในห้วงจักรวาลที่มีแสงรัศมีในตัวเองเท่านั้น เกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติของสสารพลังงาน แต่เป็นธรรมชาติสสารพลังงานที่มีสติปัญญาคือธาตุรู้ มหาพรหมองค์นี้เสวยสุขอยู่คนเดียวมานานแสนนาน ก็เกิดเบื่อเหงา คิดอยากจะได้เพื่อนมาอยู่ด้วย พลันก็มีอาภัสราพรหมเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ด้วยองค์หนึ่ง คือเลื่อนชั้นขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ ไม่มีใครดลบันดาลให้ขึ้นมาเลย เลื่อนชั้นภูมิตัวเอง ด้วยกฏอันเป็นข้อน่าอัศจรรย์ของมวลสารพลังงานจักรวาลนั้นเอง มหาพรหมเกิดหลงผิดคิดไปว่า คนเองดลบันดาลให้อาภัสราพรหมองค์นี้ขึ้นมาเกิดอยู่ในอาณาจักรเดียวกัน เพราะเพียงแต่นึกอยากจะมีเพื่อนก็มีเพื่อนมาอยู่ด้วยเสียแล้ว อาภัสรพรหมได้เพิ่มจำนวนมาอยู่ด้วยทีละองค์สององค์เรื่อยๆ มหาพรหมก็เลยทึกทักเอาว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษยิ่งใหญ่ นึกอยากจะให้อาภัสรพรหมมาอยู่ด้วยก็มาได้ทันใจดีแท้ มหาพรหมเข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้เป็นเจ้าไปเสียแล้ว เป็นผู้สร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาลเป็นผู้กำหนด เป็นผู้ลิขิต เป็นผู้มีอำนาจสูงสุง พวกอาภัสรพรหมที่จุติมาเกิดในโลกมหาพรหม เมื่อเห็นมหาพรหมมีอยู่ก่อนแล้วก็หลงผิดทึกทักเอว่ามหาพรหมเป็นใหญ่เกิดก่อนพวกตนต้องเป็นบิดาของตนแน่ พวกตนจึงได้มาเกิดมาอยู่ร่วมด้วยกับพระองค์ มหาพรหมเป็นผู้สร้างพวกตนให้เกิดขึ้นมา
กาลนานต่อมาพรหมในชั้นมหาพรหมเหล่านั้นได้จุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์ด้วยอำนาจ กิเลสความอยากอะไรบางอย่าง เมื่อเติบใหญ่ครองเรือนอยู่ในโลกมนุษย์ จนเบื่อหน่ายแล้ว สัญชาตญาณดั้งเดิมของความเป็นพรหมได้ทำให้คิดละโลกีย์ สละโลก ด้วยอำนาจบำเพ็ญพรตเป็นฤาษีดาบส ไปตามกฎแห่งกรรมของตนเอง พอพำเพ็ญเพียรตบะได้ถึงจุดบรรลุฌานสมาบัติ ก็เกิดระลึกชาติขึ้นมาได้ว่า ชาติก่อนตนเองเคยเป็นพรหมเสวยสุขบริโภคอาหารทิพย์ มีปีติอิ่มเอิบเป็นเครื่องเลี้ยงชีพ ก็เลยหลงผิดคิดว่าตัวเองลงมาเกิดในโลกมนุษย์นี้ เป็นเพราะมหาพรหมผู้เฒ่าองค์นั้นแน่ๆ เป็นผู้บันดาลให้มาเกิด ยิ่งทำให้หลงผิดเชื่อมั่นยิ่งขึ้นว่า มหาพรหม คือพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทรงอำนาจสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่าง อยากจะให้ใครเกิดก็ได้ ให้ใครตายก็ได้

แหละนี่เองคือความหลงผิดของมนุษย์ในยุคแรกที่คิดว่ามีพระผู้เป็นเจ้าสร้างโลก สร้างจักรวาล ความรู้ความเข้าใจนี้ได้แพร่หลายออกไป กลายเป็นศาสนานับถือพระเจ้าขึ้นในโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก พระพุทธเจ้าผู้ทรงสัพพัญญุตญาณได้ทรงตรัสต่อไปว่าเมื่อธรรมชาติกฎแห่งจักรวาลได้สร้างมนุษย์โลก นรกโลก และเทวโลกขึ้นมาแล้ว ก็เกิดกฎแห่งการหมุนเวียนหรือวัฏฏะคือการเวียนว่ายตายเกิด เพื่อให้สัตว์ทั้งสามโลกนี้ได้ชดใช้กรรมดีกรรมชั่วของตัวเอง กฎแห่งวัฏฏสงสารนี้ก็คือกฎหมายธรรมชาติมีไว้สำหรับตัดสินสัตว์โลกนั้นเอง
 

แดนนิพพานกฎแห่งธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามมาอีกคือ กฎแห่งกการล่วงพ้นวัฏฏสงสาร กฎนี้มีไว้สำหรับผู้ต้องการบำเพ็ญความดีขั้นสูงสุด เพื่อความหลุดพ้นการเวียบว่ายตายเกิด ใครสามารถทำได้สำเร็จก็จะไปแดนพระนิพพาน ซึ่งเป็นแดนสุญตาหรือแดนพรหมขึ้นไปอีกไกลสุดกู่ พระพุทธองค์ตรัสว่า นิพพานังปรมังสุขัง นิพพานเป็นแดนสุขอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทรงค้นพบกฎแห่งการหลุดพ้นวัฏสงสารนี้ ชี้ให้สัตว์โลกเห็นแดนพระนิพพานซึ่งศาสดาดึกดำบรรพ์แรกนับถือมหาพรหม พระผู้เป็นเจ้า หลงเข้าใจผิดไปว่า แดนของพรหมคือนิพพานหรือนิรวาณัมอันเป็นแดนสุขอย่างยิ่ง เป็นอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งความจริงไม่ใช่ เพราะแดนนิพพานที่แท้จริงอยู่สูงไปอีกกว่านั้น เป็นแดนของพระอรหันต์โดยเฉพาะ ส่วนแดนนิพพานของพรหมก็คือแดนของพระอนาคามีในพระพุทธศาสนาเท่านั้นเอง คุณๆผู้อ่านก็ได้รู้แล้วล่ะว่าเราท่านถือกำเนิดสืบเชื้อสายมาจากวิญญาณกลุ่มแรกที่มาจากนอกโลกคือ อาภัสรพรหม
 
แล้วอาภัสรพรหมล่ะ เกิดมาจากไหน?
คำตอบก็คือ อาภัสรพรหมเกิดขึ้นเอง เป็นเอง เป็นสสาร พลังงานธรรมชาติอย่างหนึ่ง ทีมีคุณพิเศษคือเป็นธาตุรู้ มีสติปัญญาความรู้สึกนึกคิดเป็นสัตว์ประเสริฐไม่มีร่างกายมีแต่ดวงจิตหรือวิญญาณ มีรังสีแสงเปล่งออกจากดวงจิตได้ด้วยพลังงานในตัวเอง
 

     พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ไม่ควรไปยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ เพราะทุกสรรพสิ่ง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา เวียนว่ายอย่างนี้ ไม่มีจบสิ้น แม้แต่จักรวาลอันกว้างใหญ่ ก็มีการเกิดดับอย่างนี้มาแล้วนับไม่ถ้วน สิ่งที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากวัฏจักรนี้ได้ คือการ ตัดเหตุแห่งการเกิด นั่นก็คือ ทุกข์และกิเลส เมื่อดับทุกข์และกิเลสแล้ว ก็เข้าสู่นิพพาน ไม่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ขึ้นอีกต่อไป
     พระพุทธศาสนา ไม่มีข้อมุลระบุไว้นะครับ ว่าพระเจ้า เป็นผู้สร้างโลก และสรรพสิ่ง เพราะป็นความรู้ที่ไม่ทำให้เกิดปัญญาได้ พระพุทธศาสนาจะเน้นไปที่สาเหตุการเกิดของสรรพสิ่งที่เริ่มจากสสารธาตุ ต่างๆ มารวมกัน จนเกิดเป็นโลก พระพุทธศาสนาจะเน้นวิธีปฏิบัติ เพื่อให้หลุดพ้นจากการเวียน ว่าย ตายเกิด จากภพภูมิทั้งหลาย คือ นรก สวรรค์ โลกมนุษย์ พรหม เป้าหมายสูงสุด คือ การนิพพาน

ความจริงเรื่อง ร่างกายมนุษย์ ตามที่พระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้แล้ว

 
องค์ประกอบของมนุษย์ ในพระสุตตันตปิฎกได้แยกแยะมนุษย์ออกเป็นขันธ์ ๕ คือ
๑) รูป คือ ร่างกายและพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย อันเป็นส่วนประกอบฝ่ายรูป
ธรรมทั้งหมด
๒) เวทนา คือ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ
๓) สัญญา คือ ความกำหนดหมายรู้ เช่น แดง, เขียว, แหลม, หอม, เหม็น, อ่อน, แข็ง, งาม, น่าเกลียด เป็นต้น
๔) สังขาร คือ คุณสมบัติต่าง ๆ ของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลาง ๆ
๕) วิญญาณ คือ ความรู้แจ้งอารมณ์

 
ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วย 6 ธาตุ ดังนี้
 ๑. ปฐวีธาตุ ธาตุดิน คือ ธาตุที่มีลักษณะแข้นแข็ง มี ๒๐ ส่วน อันได้แก่ คือ (๑)  ผม (๒)  ขน (๓) เล็บ (๔) ฟัน (๕) หนัง (๖) เนื้อ (๗) เอ็น (๘) กระดูก (๙) เยื่อในกระดูก (๑๐) ม้าม (๑๑) หัวใจ (๑๒) ตับ (๑๓) พังผืด (๑๔) ไต (๑๕) ปอด (๑๖)ไส้ใหญ่ (๑๗) ไส้น้อย (๑๘) อาหารใหม่ (๑๙) อาหารเก่า (๒๐) มันสมอง
 ๒. อาโปธาตุ ธาตุน้ำ คือ ธาตุที่มีลักษณะเอิบอาบ ดูดซึม  มี ๑๒ ส่วน คือ (๑) ดี (๒) เสมหะ (๓) หนอง (๔) เลือด (๕) เหงื่อ (๖) มันข้น (๗) น้ำตา (๘) มันเหลว (๙) น้ำลาย (๑๐) น้ำมูก (๑๑) ไขข้อ และ (๑๒) น้ำมูก
๓. เตโชธาตุ ธาตุไฟ คือ ธาตุที่มีลักษณะร้อน
เตโชธาตุมี ๔ ส่วน คือ
(๑) อุสฺมาเตโช คือ ธาตุไฟที่มีประจำอยู่ในร่างกายของสัตว์ทั้งหลาย ที่เรียกว่า ไออุ่นภายในร่างกาย
(๒) ปาจกเตโช คือ ธาตุไฟที่ทำหน้าที่ย่อยอาหาร
(๓) ชิรณเตโช คือ ธาตุไฟที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม เช่น ทำให้ผมหงอก ฟันหัก หนังเหี่ยวย่น เป็นต้น
(๔) สนฺตาปนเตโช คือ ธาตุไฟที่ทำให้ร่างกายกระวนกระวาย
๔. วาโยธาตุ ธาตุลม คือ ธาตุที่มีลักษณะพัดไปมา ภาวะสั่นไหว พยุงไว้ ค้ำจุน
วาโยธาตุมี ๖ ส่วน คือ
(๑) อุทฺธงฺคมวาโย ลมที่พัดขึ้นเบื้องบน เช่น การเรอ การหาว การไอ การจาม เป็นต้น
(๒) อโธคมวาโย ลมที่พัดลงสู่เบื้องต่ำ เช่น การผายลม การเบ่งลม เป็นต้น
(๓) กุจฺฉิสยวาโยหรือกุจฺฉิฏฺฐวาโย ลมที่อยู่ในช่องท้อง เช่น ทำให้ปวดท้อง เสียดท้อง เป็นต้น
(๔) โกฏฺฐาสยวาโย ลมที่อยู่ในลำไส้ เช่น ท้องลั่น ท้องร้อง เป็นต้น
(๕) องฺคมงฺคานุสาริวาโย ลมที่พัดอยู่ทั่วร่างกาย ทำให้ร่างกายไหวได้
(๖) อสฺสาสปสฺสาสวาโย ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
๕. อากาสธาตุ คือธาตุอากาศหรือช่องว่าง เช่น ช่องหู ช่องจมูก ช่องปากของอวัยวะต่าง ๆ
๖. วิญญาณธาตุ คือ ธาตุวิญญาณหรือธาตุรู้ หรือจิต
     ในทรรศนะของพระพุทธศาสนา มนุษย์หรือตัวตนแท้ ๆ ไม่มี แต่มองมนุษย์ในฐานะเป็นเพียงการประชุมของส่วนประกอบต่าง ๆ เมื่อส่วนประกอบเหล่านั้นถูกแยกออกไป ความเป็นมนุษย์ก็จะไม่มี นอกจากนี้แล้ว พระพุทธศาสนายังมองกว้างออกไปถึงโลกที่มีอยู่ภายนอกตัวมนุษย์คือสิ่งทั้งหลายว่า ดำรงอยู่ในรูปของส่วนประกอบที่มาประชุมกันเข้าเช่นเดียวกับมนุษย์ ตัวอย่างที่ยกมาอุปมาเสมอ ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาคือ รถ เรือน กำปั้น พิณ กองทัพ เมือง คนขายเนื้อ เป็นต้น เช่น เรือน ก็มาไม้ ปูน ตะปู เหล็ก หิน กระเบื้อง แรงงาน จึงประกอบเป็นบ้านเรือนได้ ร่างกายมนุษย์ก็เหมือนกัน

การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น มหัศจรรย์จริงๆ นะครับ สมัยพุทธกาล วิทยาการทางการแพทย์ก็ยังไม่เจริญเหมือนสมัยนี้ ที่มีกล้องจุลทรรศน์ส่องเห็นเซลล์มนุษย์ได้ สรุปแล้ว มนุษย์ก็คือ กาย+จิต หรือการรวมตัวกันของธาตุทั้ง 6 นั้นเองครับ

การกลับชาติมาเกิดแล้วระลึกชาติได้ เรื่องจริงที่น่าเหลือเชื่อ รายการ ตีสิบ นำเสนอ

ความสงสัยเรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า ถูกเปิดเผยแล้ว ด้วยบุคคลและพยานจริง สิ่งที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้นั้น เป็นความจริง ที่หลายคน ไม่เชื่อ
ร่วมพิสูจน์ไปด้วยกัน
 คลิกชมวิดีโอ ได้เลยนะครับ
 
การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น จริงแท้ แน่นอน ไม่ต้องสงสัย และสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ด้วยการปฏิบัติตามวิธีที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ตามขั้นตอน ที่จะนำไปสู่พระนิพพาน ผู้ที่ปฏิบัติจนได้ญาณแล้ว ก็จะระลึกชาดิได้ และรู้เห็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้แล้วด้วยตนเอง

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตายแล้วฟื้น รายการ ตีสิบ บาป บุญ มีจริง มีผลต่อโลกหน้า

เหลือเชื่อ!!!
ตายแล้วฟื้น เห็นบาป บุญ ของตนเอง
คลิกชม ประสบการณ์ ตายแล้วฟื้น จากคนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องบาป บุญ นรก สวรรค์  เมื่อได้ประสบกับตัวเองแล้ว จึงเชื่ออย่างสนิทใจ มีน้อยคนนักที่จะโชคดีเหมือนคุณ พัชรินทร์ บุรีจิตตินันท์ นี้

นรก สวรรค์ คำบอกเล่าจากคนที่มีญาณวิเศษ อ เจน ญาณทิพย์

 อ.เจน ญาณทิพย์ ไป นรก สวรรค์ 
คลิกชม วิดีโอ
บทสัมภาษณ์ อ.เจน  ญาณทิพย์ ถึงเรื่องราว ที่มาของความสามารถพิเศษ สามารถมองเห็นกรรม อดีตชาติ ของคนได้ สามารถเห็น ได้ยิน สัมผัส และสื่อสารกับดวงวิญญาณ หรือผีได้  และ อ.เจน ยังได้ไปเห็นนรก สวรรค์ มาแล้ว นี่เป็นคุณวิเศษของผู้ศึกษาและปฏิบัติวิปัสนาญาณ ตามแนวทางของพระพุทธองค์ ผู้ที่ปฏิบัติเท่านั้น พึงรู้ พึงได้รับ ด้วยตนเอง
โปรดใช้วิจารณญาณในการชมด้วยนะครับ

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นรก สวรรค์ ที่มีสอนอยู่ในทุกศาสนา พระพุทธองค์ทรงเปิดโลกทั้ง 3 คือ โลก นรก สวรรค์ ให้ประจักษ์แก่มวลมนุษย์แล้วเมื่อครั้งสมัยพุทธกาล วันออกพรรษา

ขุมนรก ภพภูมิหลังความตาย สำหรับคุณทำบาป
คลิกชมวิดีโอ นรก
บาป นำไปสู่นรก
บาป
หมายถึง สิ่งที่ทำให้จิตใจเสีย คือมีคุณภาพต่ำลง ไม่ว่าจะเสีย ในแง่ไหนก็เรียกว่าบาปทั้งสิ้น สิ่งที่ทำแล้วเป็นบาป คือ อกุศลกรรมบถ 10 ได้แก่
ความชั่วทางกาย ๓ ประการ๑. ปาณาติบาต ( ฆ่าสัตว์ , เบียดเบียนสัตว์ ) ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. สัตว์นั้นยังมีชีวิตอยู่จริงๆ 
๒. เราก็รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ 
๓. มีจิตหรือเจตนาที่จะฆ่าสัตว์นั้นให้ตาย
๔. ทำความเพียรเพื่อจะฆ่าสัตว์นั้น ( ความเพียรพยายามเพื่อฆ่าแบ่งออกเป็น ๖ ประการ )
๔.๑ ทำการฆ่าด้วยตนของตนเอง 
๔.๒ ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า หรือใช้วาจาทำการฆ่า
๔.๓ ใช้อาวุธเป็นเครื่องทำการฆ่า
๔.๔ ฆ่าด้วยหลุมพราง ( มีการวางแผนนานาประการเพื่อให้สัตว์นั้นตาย )
๔.๕ สังหารด้วยวิชาคุณ ( พิธีทางไสยศาสตร์ )  ๔.๖ สังหารด้วยฤทธิ
๕. สัตว์นั้นก็ตายเพราะความเพียรนั้น
ผลของ ปาณาติบาต
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. ทุพพลภาพ  ๒. รูปไม่งาม  ๓. กำลังกายอ่อนแอ  ๔. กำลังกายเฉื่อยชา
๕. กำลังปัญญาไม่ว่องไว  ๖. เป็นคนขลาดหวาดกลัว
๗. ฆ่าตนเอง หรือถูกผู้อื่นฆ่า  ๘. โรคภัยเบียดเบียน
๙. ความพินาศของบริวาร  ๑0. อายุสั้น

๒. อทินนาทาน ( ลักทรัพย์ ) ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. ทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์ของผู้อื่น
๒. ผู้กระทำการลักทรัพย์ก็รู้โดยชัดแจ้งว่าทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์ของผู้อื่น
๓. มีจิตหรือมีเจตนาพยายามที่จะลักทรัพย์นั้นให้ได้
๔. มีความเพียรพยายามที่จะลักทรัพย์นั้น ( ความเพียรที่จะลักทรัพย์แบ่งออกเป็น ๖ ประการ )
๔.๑ ทำการลักทรัพย์นั้นด้วยตนของตนเอง
๔.๒ ใช้ให้ผู้อื่นทำการลักทรัพย์นั้น
๔.๓ ทำการลักทรัพย์นั้นโดยใช้อาวุธเป็นเครื่องประกอบ
๔.๔ ทำการลักทรัพย์โดยใช้เครื่องปกปิดไม่ให้จำหน้าตาได้
๔.๕ ทำการลักทรัพย์โดยใช้วิชาคุณ ( ไสยศาสตร์ เช่น สะกดให้เจ้าของทรัพย์หลับ )
๔.๖ ทำการลักทรัพย์ด้วยฤทธิ์เดช ( เช่น ดำดินไปลักทรัพย์ )

๕. ได้ทรัพย์มาสำเร็จเพราะความเพียรที่จะลักทรัพย์นั้นผลของ อทินนาทานปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. ด้อยทรัพย์
๒. ยากจนค่นแค้น
๓. มีความอดอยาก
๔. ไม่ได้สิ่งที่ตนปรารถนา
๕. พินาศในการค้า การขาย
๖. ทรัพย์ของตนพินาศเพราะอัคคีภัย อุทกภัย ราชภัย และโจรภัย เป็นต้น

๓. กาเมสุมิจฉาจาร ( ผิดประเวณี ) ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. วัตถุที่ไม่ควรไป ( ผู้ที่ไม่สมควรเสพตามกฏหมายหรือตามประเพณี )
๒. มีจิตคิดที่จะเสพ
๓. มีความพากเพียรพยายามที่จะเสพ ( กระทำเองด้วยความเพียรเพื่อได้เสพรสกามคุณ )
๔. พอใจในการทำมัคคให้ล่วงมัคค ( พอใจในการเดินทางที่ผิด )
ผลของ กาเมสุมิจฉาจาร
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน

ปวัตติกาล
๑. มีผู้เกลียดชังมาก
๒. มีผู้ปองร้ายมาก
๓. ขัดสนในทรัพย์
๔. ยากจนอดอยาก
๕. เป็นผู้หญิง
๖. เป็นกะเทย
๗. เป็นชายในตระกูลต่ำ
๘. ได้รับความอับอายเป็นอาจิณ
๙. ร่างกายไม่สมประกอบ
๑0. มากไปด้วยความวิตกห่วงใย
๑๑. พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก
การดื่มสุรา(อยู่ในศีล 5) หมายถึงการเสพของมึนเมา จัดอยู่ในอกุศลกรรมประเภท " กาเมสุมิจฉาจาร "

องค์ประกอบของการดื่มสุรา
๑. สิ่งนั้นเป็นของมึนเมา
๒. มีเจตนาเพื่อที่จะดื่มหรือเสพหรือกิน
๓. กระทำการดื่ม การเสพ การกิน
๔. สุรานั้นล่วงลำคอลงไปแล้ว
ผลของ การดื่มสุรา หรือการเสพของมึนเมา
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. ทรัพย์ถูกทำลาย
๒. เกิดวิวาทบาดหมาง
๓. เป็นบ่อเกิดของโรค
๔. เสื่อมเกียรติ
๕. หมดยางอาย
๖. ปัญญาเสื่อมถอย

ความชั่วทางวาจา ๔ ประการ๔. มุสาวาท ( พูดโกหก ) ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. เรื่องที่พูดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่จริง ( วัตถุเทียม )
๒. มีจิตหรือเจตนาที่คิดจะพูดโกหก
๓. ประกอบด้วยความเพียรที่โกหกให้คนเชื่อ ( โดยหลักการที่จะให้คนเชื่อ ๓ ประการ )
๓.๑ พูดมุสาด้วยตนของตนเอง
๓.๒ ให้ผู้อื่นกล่าวคำโกหกแทนตัว
๓.๓ พูดหรือโฆษณาคำโกหกออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร
๔. ผู้ที่ได้ฟังหรืออ่านลายลักษณ์อักษรแล้วก็มีความเชื่อตามนั้น
ผลของ มุสาวาท
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. พูดไม่ชัด
๒. ฟันไม่มีระเบียบ

๓. ปากเหม็นมาก
๔. ไอตัวร้อนจัด
๕. ตาไม่อยู่ในระดับปกติ
๖. พูดด้วยปลายลิ้น หรือปลายปาก
๗. ท่าทางไม่สง่าผ่าเผย
๘. จิตไม่เที่ยงคล้ายวิกลจริต

๕. ปิสุณาวาท ( พูดส่อเสียด ) ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. มีคนหมู่มากหรือน้อยที่ต้องการให้เขามีความแตกแยกซึ่งกันและกันเกิดขึ้น
๒. มีความปรารถนาหรือเจตนาต้องการให้คนหมู่นั้นแตกแยกกัน
๓. เพียรพยายามที่ให้เขาแตกแยกกัน ( โดยหลักการทำได้ ๒ ประการ )
๓.๑ วจีปโยค คือ กล่าวด้วยวาจาให้เขามีความแตกแยกกัน
๓.๒ กายปโยค คือ การแสดงกิริยาบุ้ยใบ้ให้เขาแตกแยกกันโดยไม่ออกเสียง
๔. คนในหมู่คณะนั้นก็ปักใจเชื่อใน " วจีปโยค หรือ กายปโยค " ที่แสดงออกไป
ผลของ ปิสุณาสวาท
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. ตำหนิตนของตนเอง
๒. แตกมิตรสหาย

๓. มักถูกลือโดยไม่มีความจริง
๔. ถูกบัณฑิตตำหนิติเตียน

๖. ผรุสวาท ( กล่าวคำหยาบ ) ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. มีคนอื่นที่จะพึงด่าว่าให้เขามีความเจ็บช้ำน้ำใจ
๒. เหตุที่จะกล่าวให้เขามีความเจ็บช้ำน้ำใจนั้น เพราะเหตุว่ามีจิตโกรธเคืองเขา
๓. จึงแสดงคำหยาบหรือแสดงอาการหยาบ เพื่อให้เขาเจ็บช้ำใจ ( โดยหลักการทำได้ ๒ ประการ )
๓.๑ วจีปโยค คือ การกล่าวทางวาจาให้เขามีความเจ็บช้ำน้ำใจ
๓.๒ กายปโยค คือ การแสดงอาการกิริยาบุ้ยใบ้ให้เขามีความเจ็บช้ำน้ำใจ
ผลของ ผรุสวาท
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. พินาศในทรัพย์
๒. มีกายวาจาหยาบ
๓. ได้ยินเสียง เกิดความไม่พอใจ
๔. ตายด้วยอาการงงงวย

๗. สัมผัปปลาปะ ( กล่าวคำเพ้อเจ้อ )ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. มุ่งกล่าวคำที่ไร้แก่นสารไม่มีประโยชน์ หรือเจตนานั่นเอง
๒. กล่าวคำที่ไม่มีประโยชน์นั้นออกไป
ผลของ สัมผัปปลาปะ
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. เป็นอธัมมวาทบุคคล(คนที่ไม่สามารถเข้าถึงธรรม)
๒. ไม่มีอำนาจ
๓. ไม่มีผู้เลื่อมใสในคำพูด
๔. จิตไม่เที่ยง คือวิกลจริต

ความชั่วทางใจ ๓ ประการ๘. อภิชฌา ( อยากได้ของผู้อื่น ) ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. ทรัพย์หรือของเหล่านั้นเป็นของผู้อื่น
๒. มีความเพ่งเล็งที่จะให้ได้ทรัพย์หรือของเหล่านั้นมาเป็นของตน
ผลของ อภิชฌา
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. ปฏิสนธิในตระกูลต่ำ
๒. มักได้รับคำติเตียน
๓. ขัดสนในลาภสักการะ
๔. เสื่อมในทรัพย์และคุณงามความดี

๙. พยาบาท ( ผูกใจเจ็บ )ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. มีสัตว์อื่นเพื่อทำลาย
๒. มีจิตหรือเจตนาคิดทำลายเพื่อให้สัตว์นั้นประสพความพินาศ
ผลของ พยาบาท
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. มีรูปทราม
๒. อายุสั้น
๓. มีโรคภัยเบียดเบียน
๔. ตายโดยถูกประทุษร้าย

๑0. มิจฉาทิฏฐิ ( ความเห็นผิด )ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. มีความตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ที่ผิด เช่น คิดว่าทำดี ได้ชั่ว ทำชั่วแล้วไม่มีผลอะไร
๒. เชื่อและยินดีพอใจในอารมณ์ที่ผิดนั้น เช่น ติดสนุกกับเกม กับเซ็กส์ อย่างมัวเมา
ผลของ มิจฉาทิฏฐิ
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. มีปัญญาทราม
๒. เป็นผู้มีฐานะไม่เทียมคน
๓. ปฏิสนธิในพวกคนป่าที่ไม่รู้อะไร
๔. ห่างไลกแห่งรัศมีแห่งพระธรรม
โดยสรุปแล้ว บาปก็คือ การกระทำที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนและความไม่เจริญทั้งตนเองและผู้อื่นด้วย กาย วาจา ใจ นั่นเอง
 
บุญ
สิ่งที่ทำให้พ้นจาก นรก
บุญ คือสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจแล้วทำให้จิตใจใสสะอาด ปราศจากความเศร้าหมองขุ่นมัว ก้าวขึ้นสู่ภูมิที่ดี เกิดขึ้นจากการที่ใจสงบทำให้เลือก คิดเฉพาะสิ่งที่ดี ที่ถูก ที่ควร ที่เป็นประโยชน์ แล้วพูดดี ทำดี ตามที่คิดนั้น คนทั่วไปแม้จะมองไม่เห็น "บุญ" แต่ก็สามารถรู้อาการของบุญ หรือผลของบุญได้ คือเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้จิตใจชุ่มชื่นเป็นสุข เปรียบได้กับ "ไฟฟ้า" ซึ่งเรามองไม่เห็นตัวไฟฟ้าโดยตรง แต่เราสามารถรับรู้อาการของไฟฟ้าได้
 
วิธีทำบุญ
ทาน คือการบริจาคทรัพย์สิ่งของแก่ผู้ที่ควรให้
ศีล คือการสำรวมกาย วาจา ใจ ให้สงบเรียบร้อย ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่น
ภาวนา คือการสวดมนต์ ทำสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะ ฯลฯ
อปจารยะ คือมีความเคารพอ่อนน้อมต่อผู้มีคุณธรรม
เวยยาวัจจะ คือการขวนขวายช่วยเหลือในกิจที่ชอบ ที่เป็นประโยชน์
ปัตติทานะ คือการอุทิศส่วนบุญต่อผู้อื่น
ปัตตานุโมทนา คือการอนุโมทนาบุญที่ผู้อื่นทำ
ธัมมัสสวนะ คือการฟังธรรม
ธัมมเทสนา คือการแสดงธรรม บอกธรรมะให้ผู้อื่นรู้
ทิฏฐุชุกัมภ์ คือการปรับปรุงความคิดเห็นของตนให้ถูกต้อง
โดยสรุปแล้ว บุญ คือการกระทำที่ก่อให้เกิดประโยชน์และความเจริญแก่ตนเองและผู้อื่นด้วยกาย วาจา ใจ นั่นเอง

บทเพลงธรรม พระศาสดา อันไพเราะ เป็นบุญมากที่ได้ฟัง

 

คลิกชมวิดีโอเพลง พุทธคุณ
ขับร้องโดย ปาน ธนพร 
 (ไพเราะจับใจ  รู้สึกปิติมากที่ได้ฟังเพลงนี้ครับ)
เพลง คำไหว้พระจุฬามณีเจดีย์สถาน
(ไพเราะมาก เป็นบุญมากที่ได้ฟังครับ)
 
 จุฬามณีเจดีย์ ตั้งอยู่ ณ สวรรคชั้น ๒ คือ ดาวดึงสเทวโลกเป็นพระเจดีย์ที่บรรจุพระจุฬาโมลี (มวยผม) ของพระสิทธัตถะ เมื่อครั้งเสด็จออกบรรพชา ครั้งเสด็จข้ามแม่น้ำอโนมาแล้ว จะอธิฐานเพศบรรชิต ทรงตัดมวยพระเกศาขว้างไปในอากาศ พระอินทร์นำผอบแก้วมารองรับนำไปประดิษฐานในพระจุฬามณี
ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพานแล้ว ในขณะแจกพระบรมสารีริกธาตุ พระอินทร์ได้นำเอาพระทาฐธาตุคือพระเขี้ยวแก้วเบื้องบนขวาที่โทณพราหมณ์ซ่อนไว้ในผ้าโพกศีรษะ ใส่ผอบทองนำไปบรรจุในจุฬามณีด้วย นอกจากนั้นพระรากขวัญ (กระดูกไหปลาร้า)เบื้องขวาก็ประดิษฐานอยู่ในพระจุฬามณีเจดีย์สถานเช่นกัน

พุทธประวัติ พระศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ประวัติ พระพุทธเจ้า ศาสดาเอกของโลก
ผู้รู้แจ้งโลก
พุทธศาสนิกชน ควรศึกษา และเผยแพร่พุทธประวัติ ให้กับผู้อื่น ได้รู้ ได้เห็น ถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และนำหลักธรรมคำสอน มาประยุคใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อยังประโยชน์สุขแก่ตนเองและผู้อื่น
คลิกชมวิดีโอด้านล่างนี้ครับ
 
พระพุทธเจ้าคือผู้เสียสละอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อสัตว์โลก พระองค์กำลังจะได้เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ พรั่งพร้อมด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ  อีกทั้งยังมีพระมเหสีและบุตรอันเป็นที่รักยิ่ง แต่ก็มิได้เสียดายความสุขสบายส่วนพระองค์นั้นเลย ด้วยพระมหากรุณาอย่างใหญ่หลวงของพระองค์ ที่มีต่อสัตว์โลก จึงสละสิ้นซึ่งความสุขทางโลก เพื่อแสวงหาหนทางแห่งการดับทุกข์ ด้วยพระทัยอันแน่วแน่ แม้จะยากลำบากแสนเข็ญสักเพียงไหน ใช้เวลานานสักเท่าใด แม้ชีวิตจะแขวนอยู่บนเส้นด้าย ลมหายใจแทบดับลง พระองค์ก็ทรงอดทนอย่างแรงกล้า จนบรรลุธรรมอันประเสริฐ ค้นพบหนทางแห่งการดับทุกข์ และเผยแผ่พระธรรมนั้น นำพาสัตว์โลกก้าวข้ามความทุกข์ พ้นจากนรก มุ่งสู่แดนสวรรค์ และเป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน คือการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อีกต่อไป
------------------------------------------

หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ
เกจิอาจารย์ชื่อดัง วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
คลิกชมหนัง ชีวประวัติ หลวงพ่อคุณ ปริสุทโธ
 
ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อคุณ เริ่มต้นขึ้น จากการรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ ของผู้บูชาเหรียญหลวงพ่อคูณ โดยเฉพาะผู้ประสบโศกนาฏกรรม ตึกรอยัลพลาซ่าถล่ม เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2536 เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 137 ราย จากนั้นมาสายธารแห่งพลังศรัทธา ก็หลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศจนถึงทุกวันนี้
 

หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด มหัศจรรย์แห่งพระอริยสงฆ์

หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
อริยสงฆ์แห่งสยามประเทศ
 
คลิกชมตัวอย่างภาพยนต์
อิทธิปาฏิหาริย์หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีพระอริยสงฆ์ที่มีผู้ให้การเคารพสักการะบูชา จากทั่วสารทิศ

ชีวประวัติ ของท่าน สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
พระอริยสงฆ์แห่งสยามประเทศ
คลิกชมวิดีโอ
นำเสนอบางตอนเท่านั้นนะครับ
ท่านสามารถชมทั้งหมดที่ YouTube นะครับ
 
ท่านพร้อมด้วยปัญญา เมตตา อุเบกขา
ท่านเป็นผู้รอบรู้ เป็นผู้มีฤทธิ์อำนาจ และญานวิเศษ
ท่านหยั่งรู้อนาคต
ท่านคือพระอรหันต์ต้นแบบ องค์หนึ่งที่ผู้คนทั่วสารทิศให้การสักการะบูชา จนถึงปัจจุบัน

เป้าสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ การนิพพาน

นิพพานมีสาระที่ควรให้ความสนใจ ๓ ประการคือ
๑. ธรรมชาติที่ไม่มีจุติ
๒. พ้นจากขันธ์ ๕
๓. ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัยอะไร

-->> นิพพานเป็นธรรมชาติไม่มีที่จุติ หมายถึง นิพพาน ไม่มีการเกิด ไม่มีความตาย เพราะความตายจะมีได้ก็ต่อเมื่อมีการเกิด ดังนั้นเมื่อไม่มีเกิดจึงไม่มีตาย การที่นิพพานไม่มีการเกิด ก็เพราะว่า นิพพานทำลายตัณหาซึ่งเป็นตัวทำให้เกิดภพต่าง ๆ อย่างหมดสิ้น


-->> นิพพานพ้นจากขันธ์ ๕ หมายถึง เมื่อไม่มีการเกิด ขันธ์ ๕ ก็ไม่ปรากฏ เพราะความเกิดคือการปรากฏของขันธ์ ๕ ซึ่งธรรมดาสัตว์โลกทุกชนิดเมื่อเกิดแล้วจะต้องมีขันธ์ ๕ อาจจะครบทั้ง ๕ ขันธ์หรือไม่ครบบ้าง เช่น เมื่อมนุษย์เกิดมามีรูปร่าง มีความรู้สึกสุขทุกข์ (เวทนา)มีความจำ (สัญญา) มีความคิดปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์ (สังขาร) และมีจิต (วิญญาณ) แต่ถ้าเกิดเป็นอรูปพรหมก็มีเพียง ๔ ขันธ์ ขาดรูปขันธ์ เป็นต้น ฉะนั้นการที่ไม่มีการเกิดจึงเท่ากับว่าไม่มีขันธ์
-->> นิพพานไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัยอะไร ๆ หมายถึง ธรรมดาสิ่งทั้งหลายล้วนเกิดเพราะมีปัจจัยปรุงแต่ง คำว่าปรุงแต่งในที่นี้คือสิ่งทั้งหมายมารวมตัวกันเป็นกอง เป็นหมู่ เช่น บ้านรวมตัวขึ้นเพระการรวมตัวของวัตถุต่าง ๆ มีทั้งไม้ ปูน เหล็ก กระเบื้อง เป็นต้น

มนุษย์ก็เกิดขึ้นจากการรวมตัวของธาตุ ๔ การรวมตัวของวัตถุเป็นบ้าน หรือการรวมตัวของธาตุ ๔ เป็นมนุษย์และสัตว์นี้ เรียกว่าถูกปรุงแต่ง เมื่อนิพพานไม่มีการเกิดจึงเท่ากับว่าไม่มีการรวมตัวกันของธาตุ ๔ เมื่อไม่มีปัจจัยใด ๆ รวมตัวกัน จึงไม่มีอะไรเกิด เพราะฉะนั้น นิพพาน จึงได้ชื่อว่า อสังขตะ แปลว่า ธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัยต่าง ๆ


นิพพาน คือสภาวะอันประเสริฐ ละเอียดลึกซึ้ง เป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและปฏิบัติด้วยตนเอง
วิธีการเข้าถึง พระนิพพาน ตามขั้นตอน มีดังนี้
อริยมรรคมีองค์ 8
ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์มี่เรียกว่า ทุกข์นิโรธคามินีปฏิทา นั้นได้แก่อริยมรรค ซึ่งแปลว่ามรรคหรือหนทางอันประเสริฐ มีองค์ประกอบอยู่ 8 ประการ คือ

1. สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ หมายถึง ความเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว บิดามาดามีพระคุณ เห็นว่าบุญมี บาปมี เห็นหรือเข้าใจสภาพความเป็นจริงของชีวิต เช่น เห็นไตรลักษณ์ เห็นปฏิจจสมุปบาท รู้เห็นปัญหาชีวิตเรื่องเรื่องความทุกข์ต่างๆ สาเหตุเกิดของปัญหาชีวิต อุดมการณ์ของชีวิต และแนวทางสำหรับปฏิบัติเพื่อให้บรรลุอุดมการณ์อันนั้น ข้อสังเกตในที่นี้ก็คือว่า การบรรลุอุดมการณ์อันสูงส่งของชีวิตที่เรียกว่านิโรธ หรือนิพพานนั้น ต้องมีความเห็นถูกต้องตามแนวที่พระอริยเจ้าทั้งหลายได้ปฏิบัติมาแล้ว มิเช่นนั้นก็จะกลายเป็นมิจฉาทิฎฐิ ความเห็นผิดๆ ในเรืองชีวิตไป อนึ่งคำว่า "เห็น" ในสัมมาทิฎฐินี้ หมายถึง เห็นด้วยใจ ใจเห็น ไม่ใช่ตาเห็น ที่แท้จริงก็คือ รู้หรือรู้เห็นนั้นเอง ความเห็นนับว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะการที่จะลงมือปฏิบัติหรือกระทำอะไรลงไป ก็มักจะเป็นไปตามที่เห็นที่รู้หรือเข้าใจถ้าเห็นชอบก็จะทำให้เกิดการปฏิบัติที่ชอบที่ถูกที่ควร แต่ถ้าเห็นผิดเสียแล้วก็จะทำให้การกระทำต่างๆ พลอยผิดพลาดไปด้วย เพราะฉะนั้น ความเห็นชอบมีความรู้ที่ถูกต้องทีชอบ พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงจัดไว้เป็นอันดับแรก เป็นเรื่องของปัญญาของญาณสำหรับผู้จะเข้าถึงพุทธศาสนาแบบพ้นทุกข์ จะต้องเข้าถึงแบบผู้มีปัญญาหรือญาณ หรือสัมมาทิฎฐิ

2. สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ หมายถึง ความคิดชอบ ความคิดถูกต้อง หรือความตรึกตรองไปในทางที่ดี มีความหมายถึง 3 อย่าง คือ

2.1 อวิหิงสาสังกัปปะ ความคิดดำริในอันไม่เบียดเบียนผู้อื่น คือ ไม่คิดที่จะทำให้ใครได้รับความเดือดร้อนทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม แม้แต่การกระทำแก่สัตว์เดรัจฉาน เข่น กัดปลา ชนไก่ ไล่ยิงเนื้อ ยิงนก และมีเมตตากรุณาต่อสัตว์อื่นคนอื่น

2.2 อัพยาปาทสังกัปปะ ความคิดดำริในอันไม่ผูกพยาบาทปองร้ายผู้อื่น คือ ไม่อาฆาตมาตร้ายปองร้ายใครๆ หรือจองเวรกับใครๆ แต่พยายามกำจัดหรือบรรเทาความโกรธ ความอิจฉาตาร้อนอยู่เสมอ

2.3 เนกขัมมสังกัปปะ ความคิดดำริในอันจะปลดเปลื้องความเกี่ยวข้องในทางการ คือมุ่งไปสู่ความจริงสงบจริงๆ อาจจะไม่ถึงกับต้องออกไปบวชเป็นพระนุ่งห่มผ้าเหลือง แต่หมายถึงการตั้งใจปลีกใจออกจากความเพลิดเพลินในกามารมณ์ จะเรียกว่า บวชใจ ก็ได้ คฤหัสถ์บางคนสามารถบำเพ็ญมรรคให้บริบูรณ์แล้วบรรลุอรหัตต์เป็นพระอรหันต์ได้ก็มี

ข้อปฏิบัติสัมมาสังกัปปะนี้ แสดงให้เห็นว่าผู้มีมุ่งบรรลุนิพพนาหรือคุธรรมเบื้องสูงนั้น จะต้องเป็นผู้มีใจไม่อาฆาตมาดร้ายใคร นั่นก็คือ มีใจสงบและมีเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ในทางตรงกันข้ามถ้าไม่มีความติดดำริดังกล่าวก็เรียกว่า มิจฉาสังกัปปะ เมื่อเป็นเช่นนี้จิตก็ไม่สงบได้ง่ายๆ เลย เพราอาจจะตกเป็นทาสของความรัก ความชัง และความหลงผิด

3. สัมมาวาจา การเจรจาหรือวาจาชอบ เป็นทางปฏิบัติที่สำคัญอีกข้อหนึ่ง อันหมายถึง การสำรวมระวังในการพูดไม่ให้ผิด ให้พูดแต่วจีสุจริต กล่าวคือ

3.1 ไม่พูดคำเท็จทำให้ผู้อื่นเสียหาย พูดแต่คำสัตย์คำจริง พร้อมกับจริงใจในการพูด

3.2 ไม่พูดส่อเสียดให้คนอื่นเข้าใจผิดทะเลาะเบาะแว้งกัน แตกความสามัคคีกัน พูดแต่คำที่จะเสริมสร้างความรักความสามัคคีในหมู่คณะ เน้นความประนีประนอม ความรัก ความสามัคคี เป็นสำคัญ

3.3 ไม่พูดหยาบคายไว้วัฒนธรรมให้เกิดความเสียหายอับอายกับผู้อื่น พูดแต่คำที่ไพเราะอ่อนหวานมีวัฒนธรรมในการพูด ใช้คำพูดเหมาะสมกับผู้ฟัง

3.4 ไม่พูดเพ้อเจ้อที่เรียกว่าพูดพล่าม หรือพูดเหลวไหลไร้สารประโยชน์ พูดแต่คำที่ถูกต้องประกอบด้วยสารประโยชน์เหมาะสมกับกาลเทศะ มุ่งประโยชน์ที่ผู้ฟังจะได้รับเป็นสำคัญ

การดำเนินชีวิตด้วยสัมมาวาจามีแต่จะก่อให้เกิดความเข้าใจกัน ไว้วางใจกัน และมีจิตใจสงบ สัมมาวาจาจึงจำเป็นในการรักษาใจไม่ให้ว้าวุ่นเดือดร้อน

4. สัมมากัมมันตะ การงานชอบหรือการกระทำที่ชอบ หมายถึง การประพฤติชอบทางกายที่เรียกว่าการสุจริต 3 อย่าง

4.1 เว้นจากความโหดเหี้ยม ฆ่า ทำร้าย หรือทรมานร่างกายผู้อื่นสัตว์อื่นให้ลำบากด้วยวิธีการต่างๆ แล้วให้มีจิตประกอบด้วยเมตตากรุณา มีความปรารถนาดีและสงสารผู้อื่นสัตว์อื่น

4.2 เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมยหรือโจร อันได้แก่ ลัก ฉก ชิง วิ่งราว ขู่กรรโชก ขู่เข็ญ ปล้น จี้ ตู่ ฉ้อโกง หลอกลวง ปลอม ตะบัด เบียดบัง สับเปลี่ยน ลักลอบ ยักยอก และรับสินบน แล้วให้มีทานรู้จักเสียสละแบ่งปัน มีสัมมาชีพ เคารพในกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่น

4.3 เว้นจากการประพฤติผิดในการ บุคคลต้องห้ามฝ่ายชายคือ

- ภรรยาผู้อื่น

- หญิงที่ยังอยู่ในการอุปการะของผู้อื่น (ต้องพึ่งอาศัยผู้อื่น)

- หญิงที่จารีตต้องห้าม เช่น แม่ ยาย ย่า พี่-น้องสาว ลูกสาว ชี หญิงเยาว์ เป็นต้น

บุคคลต้องห้ามสำหรับฝ่ายหญิงได้แก่

- สามีของหญิงอื่น

- ชายที่จารีตต้องห้าม เช่น พ่อ ปู่ ตา พี่-น้องชาย ลูกชาย พระภิกษุ สามเณร ชายผู้เยาว์

ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงไม่ใช้ห้ามประพฤติผิดเฉพาะในการร่วมสังวาสเท่านั้น แต่รวมทั้งการเคล้าคลึง การพูดเกี้ยวพาราสี หรือการแสดงอาการปฏิพัทธ์แม้แต่ด้วยสายตา เนตรสบเนตร เป็นต้น เมื่อเว้นจากการประพฤติผิดในกามแล้ว ก็ต้องมีความสำรวมในการ (กามสังวร) ยินดีแต่ในภรรยาของตน (สทารสันโดษ) จงรักภักดีแต่ในสามีของตน (ปติวัตร) ถ้ายังไม่ได้ต่างงานก็ต้องประพฤติตนให้ตั้งอยู่ในวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณีอันดีงาม ชนิดที่เรียกว่า เข้าตามตรอกออกตามประตู

ผู้มีกายสุจริตทั้ง 3 อย่างดังกล่าวนี้ เป็นผู้มีการกระทำที่ชอบได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น นับว่าเป็นผู้ได้ปฏิบัติตามหนทางแห่งความพ้นทุกข์ข้อที่ 4 (สัมมากัมมันตะ)

5. สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีพชอบ หมายถึง การเลี้ยงชีพโดยสุจริต เป็นอาชีพที่สุจริตไม่เป็นอาชีพที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรืออาชีพที่ผิดกฎหมายบ้านเมืองและศีลธรรมอันดีงาม หรือมีอาชีพที่ถูกต้องเป็นสัมมาชีพ แต่ตัวเองก็จะต้องไม่ประพฤติทุจริตในอาชีพนั้น เช่น ประกอบอาชีพรับราชการที่ไม่ทุจริตในตำแหน่งหน้าที่ หรือทำธุรกิจค้าขายก็ไม่ค้ากำไรเกินควร หรือการหากินชนิด ทำนาบนหลังคน อาชีพนับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญในการยังชีพให้ยืนต่อไป ถ้าเป็นมิจฉาอาชีวะก็หมายถึง ความไม่บริสุทธิ์ในการดำรงชีพ ก็จะเป็นอุปสรรคในการบรรลุคุณธรรมชั้นสูง โดยเฉพาะถ้าเป็นการค้าขายแล้วจะต้องเว้นจากการค้าขายสินค้าต่อไปนี้ คือ

5.1 ค้าขายเครื่องประหารที่ทำลายกันโดยส่วนเดียว เช่น ระเบิด อาวุธต่างๆ ที่ใช้ทำร้ายซังกันและกัน

5.2 ค้าขายมนุษย์เพื่อไปเป็นทาสรับใช้ผู้อื่น หรือหลอกลวงหญิงสาวไปขายเพื่อให้เป็นหญิงโสเภณี รวมทั้งนำเด็กๆ ไปขายค้ากำไร

5.3 ค้าขายเนื้อสัตว์ อันหมายถึง การเลี้ยงสัตว์ต่างๆ เพื่อฆ่าแล้วนำเนื้อไปขาข จะเป็นวัว ควาย หมู เป็ด ไก่ เป็นต้น ก็ตาม ผู้ต้องการจะพ้นทุกข์หรือผู้ปฏิบัติตามอริยมรรคควรจะต้องละเว้น

5.4 ค้าขายสุราน้ำเมาและยาเสพติดทุกชนิด ซึ่งทำให้ผู้ดื่มมัวเมาหลงใหลขาดสติสัมปชัญญะพากตัวทำชั่วหายนะต่างๆ หรือทำให้ผู้เสพทำลายสุขภาพร่างกายและอันตรายต่อชีวิต เป็นการทำลายสังคมและประเทศชาติ นำความหายนะมาให้โดยส่วนเดียว

5.5 ค้าขายยาพิษหรือสารพิษต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำลายมนุษย์และสัตว์ ถือว่าเป็นการค้าขายที่ผิดศีลธรรม

การค้าขายสินค้าต่างๆ ทั้ง 5 นี้เป็นการค้าขายที่ผิด เรียกว่า มิจฉาวณิชชา 5 เป็นการค้าขายที่ผู้เป็นอุบาสกอุบาสิกาหรือผู้ปฏิบัติตามทางที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์จะต้องงดเว้นโดยเด็ดขาด

6. สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ ความเพียรนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการทำงานทุกอย่าง ยิ่งเป็นการบำเพ็ญเพียรทางจิตแล้วก็ยิ่งจำเป็นมาก บุคคลจะล่วงทุกข์ได้ก็เพราะความเพียร ความเพียรพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จก็อยู่ที่นั้น ความเพียรทำให้งานที่ทำด้วยกายหรือใจสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ถ้าขาดความเพียรแล้วก็มีแต่ถอยหลังและประสบกับความล้มเหลวในที่สุด เพราะฉะนั้นจะต้องมีความเพียร แต่ความเพียรนั้นจะต้องเป็นความเพียรที่ชอบ ตัวอย่าง ความเพียรชอบในที่นี้หมายถึงความเพียร 4 อย่าง คือ

6.1 สังวรปธาน เพียรระวงมิให้ความชั่วที่เป็นบาปอกุศล เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดมีขึ้นในสันดารแห่งตน หมายความว่า เพียรป้องกันอย่าให้ความชั่วร้ายใหม่เกิดขึ้นอีก

6.2 ปหานปธาน เพียรละความชั่วร้ายที่เป็นบาปอกุศลซึ่งมีอยู่ก่อนแล้วให้หมดสิ้นไป ถ้ายังละกำจัดไม่ได้เด็ดขาดก็ต้องลดลงให้มากเท่าที่จะมากได้ ถ้ายังลดไม่ได้ก็ต้องให้คงที่อยู่เท่าเดิมอย่าไปเพิ่มให้มากขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือ พยายามกำจัดปัดเป่าความชั่วหรือความรู้สึกไม่ดีให้ออกจากจิตใจให้ได้

6.3 ภารวนาปธาน เพียรพยายามก่อสร้างความดีที่เป็นบุญกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น เช่น มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น ตัวอย่างให้ทานเสมอๆ อยู่แล้วก็พยายามรักษษศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ยิ่งขึ้น แล้วก็พยายามเจริญสมาธิภาวนาในขั้นสูงๆ ขึ้นไป

6.4 อนุรักขนาปธาน เพียรรักษาคุณความดีที่เป็นบุญกุศลที่ได้ทำแล้วที่มีอยู่แล้วไม่ให้เสื่อมหรือลดน้อยถอยลง พยายามรักษาเอาไว้อย่างมั่นคงเหมือนเกลือรักษาความเค็ม โดยการทำความดีเช่นนั้นเสมอๆ เป็นอาจิณหรือเป็นนิสัยรวมความว่า พยายามระวัง-กำจัดความชั่ว และพยายามทำ- รักษาความดี

7. สัมาสติ ความระลึกชอบ หมายถึง การสำรวมใจหรือทำใจให้สงบตามแนวของสติปัฎฐาน (ที่ตั้งของจิต) ทั้ง 4 เป็นการพิจารณาให้รู้เห็นเนื่องๆ เพื่อมิให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย ความรู้สึกจิตใจและธรรม ทั้งที่เป็นฝ่ายกุศลหรืออกุศล กล่าวคือ

7.1 ตั้งสติระลึกชอบโดยพิจารณาเห็นกายในกาย ที่ว่าเห็นกายในกาย คือ พิจารณาเห็นเรื่องต่างๆ ในร่างกาย เช่น ลมหายใจ อิริยาบถ การเคลื่อนไหว ตลอดจนส่วนต่างๆ ของร่างกาย ผม จน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ฯลฯ และความเกิดดับของร่างกาย ให้เห็นความจริงของสิ่งเหล่านี้ว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเรา เขา เป็นเพียงสักแต่ว่ากาย เรียกว่าเห็นกานในกาย

7.2 ตั้งสติระลึกชอบโดยพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ทีว่าเห็นเวทนาในเวทนา คือ พิจารณากำหนดรู้เรื่องของเวทนา ความสุข ความทุกข์ และความไม่สุขไม่ทุกข์ เวทนาเกิดขึ้นอย่างไร ตั้งอยู่อย่างไร ดับไปอย่างไร เวทนานั้นมีอามิสหรือหาไม่ ให้เห็นว่าเวทนาสักแต่ว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขาเป็นเพียงแต่สักว่าเวทนา เรียกว่าเวทนาในเวทนา

7.3 ตั้งสติระลึกชอบโดยเห็นพิจารณาเห็นจิตใจจิต ที่ว่าเห็นจิตในจิตหมายความถึงการกำหนดรู้พฤติการณ์ของจิตของตนอย่างละเอียด จิตรักก็รู้ว่าจิตรัก จิตโกรธก็รูว้าจิตโกรธ จิตลุ่มหลงก็รู้ว่าจิตลุ่มหลง จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน ฯลน จิตไหวตัวอย่างไรก็รู้เท่าทัน ไม่ว่าจะเศร้าหมอง หรือผ่องแผ้วให้เห็นความจริงว่าสักว่าจิต หาใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เรียกว่าเห็นจิตในจิต

7.4 ตั้งสติระลึกชอบโดยพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ที่ว่าเห็นธรรมในธรรมคล้ายๆ กับเห็นจิตในจิต แต่ที่ไม่เหมือนที่เดียวคือ การเห็นจิตในจิตได้แก่ รู้ทันความเคลื่อนไหวของจิต ส่วนการเห็นธรรมในธรรม ได้แก่ การรู้สิ่งที่มีอยู่ในจริต เช่น จิตมีนิวรณ์ (กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา) ก็รู้เรื่องของนิวรณ์นั้นว่า นิวรณ์เกิดขึ้นในจิต มีอยู่ในจิต ดับไปจากจิตแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกุศลธรรมหรืออกุศลธรรม ก็ให้เห็นความจริงว่าเป็นเพียงสักแต่ว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขาเรียกว่าเห็นธรรมในธรรม สติปัฎฐานนี้เองที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เป็นทางเอกหรือทางเดียว เพราะเป็นทางปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อข้ามให้พ้นซึ่งความโศกหรือปริเทวนาการ เพื่อบรรลุญาณ และเพื่อทำนิพพานให้ปรากฏแจ้ง

8. สัมมาสติ ความตั้งใจชอบ ความตั้งใจชอบเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ ด่านสุดท้ายที่จะเผด็จศึกกับกิเลสนับว่าเป็นข้อปฏิบัติที่สำคัญมาก เพราะธรรมชาติของใจย่อมรู้กันดีอยู่แล้วว่ามีสภาพกลับกลอกวอกแวกอยู่เสมอ เพราะความฟุ้งซ่านยากที่จะรักษาได้ จึงจำเป็นที่ผู้หวังความพ้นทุกข์จะต้องฝึกหัดดัดใจให้เป็นสมาธิ มีจิตใจแน่วแน่อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านเป็นเอกัคคตา มีอารมณ์เดียวจนเกิดความตั้งมั่นแห่ง่จิตใจขึ้น สัมมาสมาธิในที่นี้ก็หมายเอาความตั้งใจชอบโดยการเข้าสมาธิชนิดที่เป็นอัปปนาสมาธิคือ สมาธิแน่วแน่สมบูรณ์เต็มที่ (ไม่ใช่สมาธิชั่วขณะหรือสมาธิเฉียดๆ) เป็นสมาธิที่ปราศจากนิวรณ์โดยสิ้นเชิง เป็นสมาธิระดับฌาน (การเพ่งอารมณ์จนในแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ) การเข้าสมาธิจนถึงระดับฌานนั้นจะยึดเอาอะไรมาเป็นอารมณ์เพื่อเป็นหลักในการทำสมาธิก็ได้ ในวิสุทธิมรรคเล่มที่ 2 สมาธินิเทศ ท่านได้กล่าวถึงอารมณ์ของกรรมฐานไว้ถึง 40 อย่าง เช่น กสิณ 10 มี น้ำ ลม สีแดง เป็นต้น อสุภ 10 เช่น ส่วนต่างๆ ของซากศพที่เน่า เป็นต้น อนุสติ 10 เช่น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และความตาย เป็นต้น ระดับฌาน 4 นั้น คือ รูปฌาน 4 นั่นเอง ได้แก่

8.1 ปฐมฌาน (ฌานขั้นแรก) มีองค์ 5 คือ วิตก (ความตรึก) วิจาร (ความตรอง) ปิติ สุข และเอกัคคตา (ความที่จิตมีอารมณ์เดียว)

8.2 ทุติยฌาน (ฌานที่ 2) มีองค์ 3 คือ ปิติ สุข เอกัคคตา

8.3 คติญาณ (ฌานที่ 3) มีองค์ 2 คือ สุข เอกัคคตา

8.4 จตุตถฌาน (ฌานที่ 4) มีองค์ 2 คือ อุเบกขา (ความวางเฉย) เอกัคคตา
 
*** ท่านที่ปรารถนาพระนิพพาน ต้องถึงพร้อมด้วย ทาน ศีล ภาวนา มีการฝึกจิตอย่างยิ่งยวด ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ นั้นคือ พระพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอน พระอริยะสงฆ์  แนะนำให้ท่านเข้ารับการฝึกจากพระอาจารย์ หรือบวชชี-พราหมณ์ บวชเณร บวชพระ ฝึกปฏิบัติในสถานที่ที่เอื้อต่อการฝึกจิต เช่น วัดป่าที่สงบเงียบ การเข้าคลอสปฏิบัติธรรม วิปัสนา ฝึกปฏิบัติไปตามขั้นตอนที่พระอาจารย์ท่านสอน จนถึงขั้นนิพพานในที่สุด
 
ขออนุโมทนาบุญกับท่านที่เริ่มฝึกปฏิบัติ และผู้ฝึกจนสำเร็จแล้วด้วยครับ  สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

ขออนุโมทนาบุญ นี้ กับทุกท่าน

 
 
ข้าพเจ้า ขออาราธนา คุณพระศรีรัตนตรัย เหล่าเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ช่วยดลบันดาลให้ท่านและครอบครัว ประสบความสุขความเจริญ สมหวังในชีวิต มีพร้อมในทุกสิ่ง ทั้งลาภ ยศ สรรเสิญ บารมี หมดทุกข์โศก โรค ภัย  หากท่านปรารถนาจะไปสู่พระนิพาน ขอให้ท่านสมปรารถนาโดยเร็ว ขอบุญของท่านจงสัมฤทธิ์ผลในชาตินี้ด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามี
-------------------------
อภิชาติ  หาญมานิตกุล